Last updated: 7 ส.ค. 2559 |
"คนไทยไปเมืองนอก เพื่อไหว้ฝรั่ง
พระไปเมืองนอก เพื่อให้ฝรั่งไหว้ "
หลวงพ่อไปอเมริกาครั้งแรกในปี ๒๕๑๕ ขณะเป็นเลขาธิการมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ และเจ้าคุณพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ไปด้วย เพื่อพบปะนักศึกษาในมหาวิทยาลัยต่างๆ ตามคำนิมนต์ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา
สมัยนั้น คนไทยยังไม่มาก ส่วนใหญ่คนไทยไปอยู่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย การเดินทางและการเป็นอยู่ในสมัยนั้น จึงลำบากมาก แต่ก็ต้องทนเพราะต้องการพบปะกับคนไทย เพื่อจะหาวิธีให้มีวัดเกิดขึ้นให้ได้ บางครั้ง พักที่สถานทูตไทย บางครั้ง พักที่สำนักงาน ก.พ. บางครั้ง ก็พักตามมหาวิทยาลัย แต่โดยมากพักตามบ้านคน
ทีแรกไปอเมริกา เขาจัดให้นอนที่สถานทูตไทยด้วยกันทั้ง ๓ องค์ ภายหลัง ทั้งสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ กับเจ้าคุณประยุทธ์ ต่างก็ต้องแยกกันไปนอนในที่ต่างๆ กัน เพื่อจะได้มีโอกาสพบคนมาก หลวงพ่อบอกท่านว่า “ฝรั่งมาอยู่เป็นโรบินฮู้ดในเมืองไทยทำไมเราชื่นชมว่า เขาเป็นคนเก่งคนกล้า แต่พอคนไทยเป็น โรบินฮู้ดไปอยู่เมืองฝรั่งบ้าง กลับเห็นเป็นเรื่องน่าอายสมัยนั้น ท่านทูตสุนทร หงส์ระดารมย์ เป็นทูตอเมริกา ท่านบอกกับหลวงพ่อว่า “คนไทยยังเชื่อพระ ให้บอกคนไทยที่มาอยู่ที่นี่ด้วยเถอะ ให้พากันกลับเมืองไทยทีเถอะ มาอยู่เป็นโรบินฮู้ดอย่างนี้ อายเขา เสียชื่อเสียงประเทศชาติบ้านเมือง”
ความจริง เมืองไทยเราก็มีแต่โรบินฮู้ดทั้งนั้นแหละ และโรบินฮู้ดเหล่านั้น ก็มีส่วนในการสร้างความมั่นคงมั่งคั่ง ให้กับเมืองไทย ที่เยาวราชมีแต่โรบินฮู้ดจากเมืองจีนทั้งนั้น มีแค่เสือผืนหมอนใบ มาเมืองไทย ก็ยังสร้างชาติไทย ให้มีความเจริญรุ่งเรืองได้
อย่าถือว่า เป็นเรื่องน่าอายเลย ขอให้หาทางช่วยให้คนไทยเหล่านั้น ได้อยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมายเถอะ คนไทยเหล่านั้นล้วนแต่เก่ง และมีความสามารถทั้งนั้น หากไม่เก่ง ไม่กล้า ไม่มีความสามารถ เขามาได้ไม่ไกลถึงอเมริกาหรอก การที่เขามาถึงอเมริกาได้ รัฐบาลไทยไม่ได้เสียเงินให้เขาสักบาทเดียว ไม่ได้ขาดทุน แต่ได้กำไร นั่นก็แสดงว่า เขามีความสามารถเป็นทุนอยู่แล้ว หากช่วยเขาให้อยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมายในอเมริกา
"เขาก็คงจะสร้างความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าให้แก่ชีวิตได้”
ท่านทูตสุนทร หงส์ระดารมย์ มีความคุ้นเคยกันกับหลวงพ่ออยู่ก่อนแล้ว ทั้งพี่น้องของท่านด้วย เพราะคุณพ่อของท่าน คุ้นเคยกับที่วัดสระเกศ มาตั้งแต่สมัยเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราช(อยู่) เลยทำให้คุ้นเคยกัน คุยอะไรก็คุยกันได้ อย่างคนคุ้นเคยกัน แต่เรื่องความเห็นไม่ค่อยตรงกัน เพราะหลวงพ่อเห็นเป็นอย่างหนึ่ง แต่ท่านก็เห็นเป็นอีกอย่างหนึ่ง ท่านเห็นแบบคนโบราณที่เคร่งวัด
อย่างคราวหนึ่ง หลวงพ่อบอกกับท่านถึงเรื่องอยากจะให้มีวัดในอเมริกา และอยากให้พระมาอยู่ที่นี่ หลวงพ่อเห็นว่า วัดเกิดขึ้นที่นี่ได้ เพราะที่นี่มีคนไทย จึงขอให้ท่านช่วยหาทางที่จะให้มีวัด ท่านก็บอกว่า ที่เมืองไทยวัดจะร้างอยู่แล้ว พระอย่ามายุ่งเลยกับต่างประเทศอยู่เมืองไทยก็ยังทำอะไรไม่ค่อยได้
"แล้วพระจะมาสอนอะไรที่เมืองนอก"
หลวงพ่อก็บอกกับท่านว่า คนไทยไปเมืองนอกกับพระไปเมืองนอกนั้นแตกต่างกัน คนไทยไปเมืองนอกไปเพื่อไหว้ฝรั่ง แต่พระไปเมืองนอกไปเพื่อให้ฝรั่งไหว้ และ หากใครพูดถึงเรื่องพระไปต่างประเทศ ไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ หลวงพ่อก็จะบอกเขาอย่างนี้เสมอมา
ทุกครั้งที่ไปต่างประเทศ หากมีผู้ถวายปัจจัยก็จะไม่นำกลับเมืองไทย แต่จะสมทบทุนไว้สร้างวัดที่ประเทศนั้นๆ ไปแต่ละครั้ง ก็จะมีคนถวายปัจจัยเยอะมาก ทุกครั้ง ที่มีการเทศน์ มีการบรรยาย หรือที่เขามาทำบุญ ก็จะไม่เอากลับเมืองไทย และจะตกลงกับผู้ที่จะร่วมคณะไปด้วยเช่นนั้นเสมอ
อย่างไปอเมริกาสมัยนั้น คนถวายปัจจัยเยอะมาก บางวันคนนิมนต์ตั้งแต่เช้าจนค่ำ เพราะคนไทยยังไม่เคยเห็นพระที่นั่น ทุกคนต่างก็แตกตื่นดีอกดีใจ ไม่นึกว่า จะมีพระไปอเมริกา ต่างก็อยากให้พระไปบ้าน บางคนเห็นพระถึงกับร้องไห้ ปล่อยโฮออกมาเลย
จนในที่สุด ทั้งสมเด็จวัดปากน้ำ ทั้งเจ้าคุณประยุทธ์ที่ไปด้วยต้องแยกกันไปคนละที่ เพราะไม่ทันเวลา ต่างองค์ต่างไปสวดมนต์บ้านโยม สวดองค์เดียว บางวันสวดมนต์ตั้งแต่เช้าจนค่ำ เรื่องปัจจัยที่เขาถวายมา ไปรัฐไหนก็จะมอบไว้ที่รัฐนั้น เพราะเขามีสมาคมของเขา ที่ไหนยังไม่มีสมาคมก็แนะนำให้ตั้งสมาคม และก็จะแนะนำเขาให้หาวิธีที่จะให้มีวัดเสมอไป
เวลาหลวงพ่ออยู่องค์เดียวแล้ว คิดแต่เรื่องการพระศาสนาโดยเฉพาะ เรื่องการพระศาสนา ในต่างประเทศ คิดเรื่องของการบ้านการเมืองการพระศาสนาว่า เราจะประคองพระศาสนาไว้อย่างไรจะอยู่อย่างไร เฉพาะที่วัดสระเกศ ก็คิดว่า พระในวัดก็ไม่เหมือนกัน บางองค์ดี บางองค์ก็ไม่ดี บางองค์ดีน้อย บางองค์ดีมาก บางองค์ขยันน้อยบางองค์ขยันมาก
"นี่เฉพาะที่วัดสระเกศ"
แล้วมาดูคณะสงฆ์โดยรวมทั้งประเทศ จะทำอย่างไร พระพุทธศาสนาโดยรวมทั้งหมด จะทำอย่างไร จะทำอย่างไรให้คณะสงฆ์เป็นเอกภาพ อยากให้คิดไปในแนวทางเดียวกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่ต่างคนต่างเป็น ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างสำแดงฤทธิ์ สำแดงเดช
หลวงพ่อไปอเมริกาทีแรก ยังไม่มีวัด พักตามบ้านคน บางบ้านที่นิมนต์ไป มีที่ว่างแต่โรงรถ เขาก็จัดให้พักที่โรงรถ พักโรงรถก็พัก ขอให้ได้พบคนไทย และก็คิดในทันทีที่ไปนั่นแหละว่า “ต้องตั้งวัดที่นี่ให้ได้” เพราะมีคนไทยอยู่ ก็เลยคุยกับคนไทยว่า เขามีสมาคมหรือเปล่า ก็ทราบว่า มีสมาคมอีสาน สมาคมทักษิณ สมาคมเหนือ สมาคมนักศึกษา แหม! ดี เลยยึดเอาสมาคมตั้งวัด ปัจจัยที่ได้มาก็มอบให้สมาคมเป็นทุนในการตั้งวัด ไปรัฐไหนก็ทำอย่างนั้น แล้วก็มีวัดขึ้นในต่างประเทศ
สมัยนั้น พลเอกสุจินดา คราประยูร ยังเป็นนายทหารยศชั้นผู้น้อย ท่านไปเป็นผู้ช่วยทูตทหารอยู่ที่อเมริกา ยังนึกถึงบุญคุณของท่านที่มีต่อพระสงฆ์และพระพุทธศาสนา ท่านมีส่วนอย่างมากในการที่จะให้มีวัดในอเมริกา ช่วยวิ่งเต้นประสานงานกับทุกฝ่าย หากไม่มีท่าน ตั้งวัดในต่างประเทศ โดยเฉพาะที่อเมริกา ก็คงลำบากอยู่เหมือนกัน ท่านคุ้นเคยกับ คุณเฉลิม อรรถพิศาลโสภณ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ ก.พ. อยู่อเมริกา จึงเป็นเหตุได้มาช่วยเรื่องตั้งวัด
" นี่ก็เป็นเรื่องตั้งวัดในต่างประเทศ ที่คนไม่ค่อยรู้ เพราะไม่ได้พูดกัน เล่าให้พวกเราฟังจะได้จำเรื่องไว้ "
ตอนแรก ที่ลอสแองเจลิส มีคนไทยไปอยู่ยังไม่มากนักส่วนมากเป็นคนไทยที่ชอบเรื่องขลังๆ ชอบเรื่องขลังก้ไม่เป็นไร เอาอาจารย์ขลังไป เลยเอาอาจารย์ศรีนวลไป อาจารย์ศรีนวลไปอยู่ได้ไม่นานก็ทะเลาะกันกับโยมที่นั่น ท่านก็เลยกลับ แล้วก็ส่งพระไปเรื่อยจนวัดมั่นคง จากนั้น ก็มีวัดที่วอร์ชิงตัน ดี.ชี. มีวัดที่บอสตันตามมา
ตอนหลัง ทางด้านอเมริกาก็ได้ขอให้เจ้าคุณธรรมราชานุวัตร [1] วัดโพธิ์เป็นหลัก ขอให้ท่านไปท่านก็ไป
ส่วนทางด้านยุโรปก็ได้เจ้าคุณจำนงค์ [2] เป็นหลัก จึงทำให้วัดค่อยเกิดขึ้นที่ละแห่งสองแห่งจนถึงปัจจุบัน
"พระผู้ใหญ่และคนไทยที่ไม่เข้าใจ ก็เริ่มเข้าใจมากขึ้น ที่ตำหนิมาก ก็ตำหนิน้อยลง "
เมื่อหลวงพ่อไปต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศใดก็ตาม คิดอยู่ในใจตลอด เก็บไว้ในใจว่า ต้องมีวัดในประเทศนั้นให้ได้ ไม่พูดเลยสักคำ แต่มันอยู่ในใจ ไม่พูดออกมาทางปากเลย เก็บกลับเมืองไทยแล้วจะทำอย่างไรต่อไป กับคณะสงฆ์ที่ยังไม่เข้าใจ การพระศาสนาในต่างประเทศ จะทำอย่างไร
แต่สมัยนั้น ต้องค่อยๆ คิด ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป จะคิดแล้วทำเลยอย่างทุกวันนี้ไม่ได้ เพราะตอนนั้น หลวงพ่อพรรษายังน้อย ยิ่งตอนนั้น ถ้าพูดเรื่องต่างประเทศเป็นเรื่องใหญ่ "เขาด่ากันแหลกเชียวทั้งพระทั้งโยม"
สู้เพื่อให้พระศาสนาอยู่ได้
แม้ในมหาเถรสมาคมเองก็พูดไม่ได้ ตอนที่หลวงพ่อเข้าไปเป็นกรรมการมหาเถรใหม่ๆ พรรษายังน้อย ก็เพราะคิดว่ามีโอกาสที่จะเป็นช่องทางให้พระไปต่างประเทศได้ เสนอชื่อพระที่จะไปต่างประเทศแต่ละองค์ ยากเหลือเกินเพราะพรรษาน้อย พอพูดถึงเรื่องไปต่างประเทศท่านก็ด่าเลยว่า “ไปแล้วก็ไปผิดวินัย ไม่ได้รักษาวินัยกัน ไปแล้วไปอยู่กันอย่างไรก็ไม่รู้ วัดวาไม่มีให้อยู่ ไปอยู่ตามบ้านตามเรือนคน” หลวงพ่อต้องนั่งก้มหน้าอย่างเดียว ไม่โต้ตอบ ไม่พูดอะไร นึกภาวนาอยู่ในใจอย่างเดียวว่า “ด่าก็ไม่เป็นไร ขอให้ท่านอนุมัติให้ไปตามที่เราขอ”
เมื่อก่อน เสนอพระไปต่างประเทศ ไม่ได้มากอย่างเดี๋ยวนี้ นานๆ จึงเสนอสักองค์ เสนอบ่อยไม่ได้ เสนอทีก็ต้องนั่งก้มหน้าให้ท่านด่าท่านว่ากันที เราก็ไม่พูดเลย นั่งก้มหน้า เราต้องการอย่างเดียว ขอให้ท่านอนุมัติ จะด่าจะว่าอย่างไรก็ช่างท่าน พอด่าเสร็จแล้ว ท่านก็ว่า “เอ้า! ให้ไป” เท่านั้นแหละ ก็ได้ไป ท่านด่าก็ด่าไป ด่าเสร็จแล้วท่านก็ให้ไปขอให้ได้ไป
ตอนหลัง เลยได้พระธรรมทูตต่างประเทศเพิ่มเรื่อยมา ปีสองปีได้องค์หนึ่งสององค์ ก็เพิ่มมาเรื่อยๆ
บางทีในที่ประชุมมหาเถรสมาคม หลวงพ่อก็ช่วยด่าด้วย ท่านว่า พระไปอยู่เมืองนอก ไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ หลวงพ่อก็ช่วยด่าด้วย แต่ที่จริง เราไม่ได้ด่าหรอก แต่แกล้งเป็นพวกเดียวกับท่านช่วยด่า ท่านว่า ไม่ดีอย่างนั้นๆ เราก็ว่า เออไม่ดี เลว แต่พอได้จังหวะดีๆ เราก็ว่า “แต่ดูไป บางทีพระที่อยู่เมืองไทยเอง ที่เลวก็มีเหมือนกัน ไม่ต้องไปถึงเมืองนอก”
นี่แหละ การต่อสู้เพื่อจะให้พระศาสนาอยู่ได้ ไม่ใช่ง่าย แม้กระทั่งที่เมืองไทยเอง เมืองที่เป็นพระพุทธศาสนา ไม่ต้องไปคำนึงถึงพระ ที่จะไปต่อสู้กับความคิดของคน ในต่างประเทศ ที่ไม่ใช่เมืองพุทธหรอก ท่านจะลำบากขนาดไหน
"นี่เอาแค่ต่อสู้กับความคิดคนไทยกันเอง ก็ยังยากลำบากกันขนาดนี้ "
ตอนไปอเมริกาครั้งแรกๆ หลวงพ่อเห็นจะอายุ ๔๔ ปีไม่เกินนี้ กำลังทำงาน กำลังมีความคิดความอ่าน ร่างกายกำลังแข็งแรงสุขภาพอนามัย ไม่มีปัญหา ทำได้ทั้งคืนทั้งวัน คิดได้ทั้งวันทั้งคืน คุยกับคนที่มาแลกเปลี่ยนความคิดคุยได้จนสว่าง
แม้ไปสวีเดน ตอนตั้งวัดทีแรก คุยจนสว่างจึงหยุด พระที่ตามไปด้วยหลับกันไปหมดแล้ว ยังเหลือหลวงพ่อกับฝรั่งคนหนึ่ง ตอนหลังฝรั่งที่คุยด้วย ยังอุตส่าห์ตามมาถึงเมืองไทย แต่ตอนนี้ ตายเสียแล้ว แต่ไม่ใช่ว่า หลวงพ่อมีความสามารถทำได้ทุกอย่าง บางอย่างไม่ใช่ว่า หลวงพ่อคิดแล้วทำได้ทุกอย่าง แต่คิดแล้วให้คนอื่นที่เขาทำได้ และรับกันไปเป็นช่วงๆ จะว่าไปก็เหมือนขายความคิด จะทำเองหรือไม่ ไม่สำคัญ ขอให้งานที่อยากทำสำเร็จ และเป็นประโยชน์ต่อพระศาสนาก็เป็นอันใช้ได้
อย่างเจ้าคุณจำนงที่มรณภาพไปแล้ว ท่านรับได้เร็ว หลวงพ่อพูดกับท่านว่า ที่สวีเดนคนไทยอยู่เยอะ พระน่าจะไปอยู่ได้ ท่านก็รับปากว่า “ จะพยายาม”
หลวงพ่อบอกท่านว่า “ไปแล้วอย่าคิดกลับนะ ต้องคิดเอาหิมะกลบหน้าอยู่ที่นั่นแหละ“ แล้วท่านก็ต่อของท่าน พอฟังแล้วท่านก็คิดต่อ ไม่ใช่ฟังแล้วก็เฉย
ที่จริง ยังนึกเสียดาย พระอย่างนี้ ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก พระพุทธศาสนาจะไปถึงทะเลบอลติกทั้งหมด จะเข้าไปในรัสเซียเดิม นี่ก็เพิ่งเริ่มไว้คงจะมีผู้สานาต่อ (ปัจจุบันได้เกิดวัดไทยในรัสเซียแล้ว ภายหลังเจ้าคุณพระราชรัตนรังสี (จำนงค์ ชุตินฺธโร) มรณภาพ ในปีพุทธศักราช ๒๕๔๗ นับเป็นการสานต่อปณิธานการเผยแพร่พระศาสนาอันแน่วแน่แห่งพระสงฆ์ไทย ไม่มีที่สิ้นสุด)
สมัยนั้น พระจะไปต่างประเทศต้องมาหาหลวงพ่อทั้งนั้น เพราะในมหาเถรสมาคม นอกจากหลวงพ่อแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าเสนอที่ประชุม เพราะเสนอก็จะถูกตำหนิกลางที่ประชุม ทุกองค์ก็รู้ว่า หากมาหาหลวงพ่อแล้วเป็นได้ไป
คราวหนึ่ง มีพระมาขอว่าท่านอยากไปต่างประเทศ ขอให้หลวงพ่อช่วย หลวงพ่อก็ถามว่า จะไปประเทศไหน ท่านตอบว่า ไปอเมริกา แล้วก็ถามว่าจะไป ทำอะไร ท่านตอบว่า อยากไปเที่ยวดูบ้านดูเมืองเขาบ้าง
หลวงพ่อบอกว่า เออ! ไปเที่ยวดูบ้านดูเมืองเขานะดีแล้ว แต่อย่าลืมดูด้วยว่า มีบ้านเมืองเขาตรงไหนบ้างที่สามารถสร้างวัดได้ แล้วท่านก็ไป
ภายหลังท่านก็สามารถสร้างวัดในอเมริกาได้
ยังสงสัยว่า ทำไมพระผู้ใหญ่สมัยนั้น จึงไม่อยากให้พระไปต่างประเทศ
ทั้งๆ ที่เงินทองค่าใช้จ่ายคณะสงฆ์ก็ไม่ได้เสีย ท่านหาเงินของท่านเอง
มีชาวบ้านศรัทธาอยากให้ไป ออกค่าใช้จ่ายให้ท่าน
คณะสงฆ์กลับจะได้ประโยชน์เสียอีก คือ ได้อย่างเดียว
อย่างน้อยก็ได้พระที่มีหูตากว้างไกลเพิ่มขึ้น โดยไม่ต้องลงทุนอะไรเลย
--------------------------------------------
[1] พระธรรมราชานุวัตร (กมล โกวิโท) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) กรุงเทพมหานคร.
[2] พระราชรัตนรังสี (จำนงค์ ชุตินฺธโร) วัดพุทธาราม กรุงสต๊อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน.
---------------------------------------
ที่มา: เย็นหิมะในรอยธรรม (สมเด็จพระพุฒาจารย์ เกี่ยว อุปเสโณ)