Last updated: 10 ม.ค. 2562 |
1.พระวิหาร
สวยงามสูงเด่นเป็นสง่า มีหลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบ มีช่อฟ้า ใบระกา หน้าบันทั้งสองด้านประดับด้วยกระจกสีวิจิตรงดงาม เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่สำคัญ ๒ องค์ด้วยกัน คือพระอัฏฐารส และหลวงพ่อดุสิต
2.พระอุโบสถ
เป็นสถานที่ประดิษฐานพระปางสมาธิ ซึ่งเป็นพระปั้นปิดทองปางสมาธิที่ใหญ่โต พร้อมด้วยความสมพุทธลักษณองค์หนึ่งในกรุงเทพมหานคร . ที่ฝาผนังด้านใน ระหว่างซุ้มหน้าต่างเป็นภาพทศชาติส่วนด้านบนเป็นภาพเทวดาและท้าวจตุโลกบาล ส่วนด้านหน้าเป็นภาพมารวิชัย ส่วนด้านหลังพระประธานเป็นภาพไตรภูมิคือ. ภาพสวรรค์ มนุษย์ และนรก
3.พระวิหารหลวงพ่อดำ
องค์นี้เป็นพระปิดทองปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง ๔ ศอก สันนิษฐานว่าเป็นฝีมือปั้นยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นพระพุทธรูปที่คู่กับบรมบรรพต(ภูเขาทอง) มาตั้งแต่ต้น เล่ากันว่าสร้างไว้เพื่อให้เจ้านายและพุทธบริษัททั่วไป ที่ไม่สามารถขึ้นไปบูชาองค์พระบรมบรรพตได้บูชาที่พระพุทธรูปองค์นี้
4.หอไตร
เรียกเต็มว่า “หอพระไตรปิฎก” ซึ่งเป็นที่เก็บคัมภีร์พระพุทธศาสนา นับตั้งแต่พระไตรปิฎกอรรถกถา ฎีกา และสัททาวิเศษ ตลอดจนอุปกรณ์ ต่าง ๆ รวมเรียกว่า ”พระธรรม” เป็นหอสมุดประจำวัด ตั้งอยู่ที่คณะ ๑๐ ด้านทิศใต้ของพระบรมบรรพตภูเขาทอง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ ทรงโปรดให้สร้างขึ้น และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงโปรดให้ทำการบูรณะ
5.พระวิหารหลวงพ่อโต
พระพุทธรูปมารวิชัยองค์นี้ เป็นพระพุทธรูปหล่อปิดทองในสมัยรัชกาลที่ ๓ หน้าตักกว้าง ๗ ศอก ๑ คืบ ส่วนสูง ๑๐ ศอก นับว่าเป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยโลหะที่ใหญ่องค์หนึ่ง ชาวบ้านจึงเรียกว่า “หลวงพ่อโต” ซึ่งประดิษฐานอยู่เชิงพระบรมบรรพต (ภูเขาทอง) ด้านทิศเหนือ ตามประวัติได้บันทึกเอาไว้ว่า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ได้มีพระราชศรัทธาให้สร้างหลวงพ่อโตไว้ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้นำมาประดิษฐานไว้ที่วัดสระเกศตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงปัจจุบัน หลวงพ่อโตองค์นี้มีพุทธศาสนิกชนผู้เคารพนับถือเลื่อมใสมาสักการะบูชาเป็นประจำโดยเฉพาะผู้ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงถือว่า “เป็นหลวงพ่อที่ให้ความคุ้มครองให้ความสุขความเจริญ”
6.พระประธาน พระอุโบสถ วัดสระเกศ
ลักษณะของพระพุทธรูปประธานเป็นพระพุทธรูปางสมาธิซึ่งไม่ค่อยพบมากนักใน งานช่างไทย ลักษณะโดยรวมแล้วใกล้เคียงกับพระพุทธรูปในสมัยอยุธยา จึงแสดงให้เห็นงานที่สืบต่อมาจากสมัยก่อน ตรงตามประวัติที่กล่าว่ารัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพอกทับพระประธานองค์เดิม ลักษณะดังกล่าวเป็นงานช่างในสมัยนี้ซึ่งต่างจากงานช่างในสมัยรัชกาลที่ ๓ ที่จะมีพระพักตร์อย่างหุ่นอันเป็นลักษณะเฉพาะที่เกิดขึ้นในภายหลัง ลักษณะของพระพุทธรูปประธานมีลัพระพักตร์ค่อนข้างสี่เหลี่ยมแบบอยุธยา ขมวดพระเกศาเล็ก พระรัศมีเป็นเปลวสูง พระโอษฐ์กว้างแบบอยุธยา ลักษณะชายสังฆาฏิที่ซ้อนทับกันแบบเดียวกับพระพุทธรูปอยุธยาตอนปลายในสมัยของ พระเจ้าปราสาททอง มีส่วนที่แตกต่างคือในสมัยรัตนโกสินทร์นิยมทำสังฆาฏิพาดกึ่งกลางพระวรกาย ในขณะที่พระพุทธรูปสมัยอื่นๆ นั้นชายสังฆาฏิจะอยู่ทางเบื้องซ้าย
7.หลวงพ่อดำ
องค์นี้เป็นพระปิดทองปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง ๔ ศอก สันนิษฐานว่าเป็นฝีมือปั้นยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นพระพุทธรูปที่คู่กับบรมบรรพต(ภูเขาทอง) มาตั้งแต่ต้น เล่ากันว่าสร้างไว้เพื่อให้เจ้านายและพุทธบริษัททั่วไป ที่ไม่สามารถขึ้นไปบูชาองค์พระบรมบรรพตได้บูชาที่พระพุทธรูปองค์นี้
8.พระอัฏฐารส
มีพระนามเต็มว่า พระอัฏฐารสศรีสุคตทศพลญาณบพิตร เป็นพรพุทธรูปที่มีความสำคัญองค์หนึ่งในกรุงเทพมหานครเป็นพระพุทธรูปปางห้ามญาติ ซึ่งหล่อปิดทองขนาดใหญ่มาก สูงถึง ๕ วา ๑ ศอก ๑๐ นิ้ว (๒๑ ศอก ๑ นิ้ว) ประดิษฐานอยู่ชุกชี ในพระวิหาร ธรรมดาเมืองหลวงแต่ก่อนย่อมมีพระอัฏฐารสเป็นประจำราชธานี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ( ร.๓ ) ทรงโปรดให้อัญเชิญพระอัฏฐารสมาจากวัดวิหารทอง เมืองพิษณุโลก มาประดิษไว้ ณ พระวิหารแห่งนี้ อนึ่ง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทอดพระกฐินที่วัดสระเกศแห่งนี้ ย่อมเสด็จมาทรงจุดธูปเทียนถวายสักการะพระอัฏฐารสก่อน แล้วจึงเสด็จเข้าพระอุโบสถ
หลวงพ่อดุสิต
พระพุทธรูปปางมารวิชัย พระพุทธรูปศิลป์สกุลช่างรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ อัญเชิญมาประดิษฐานในห้องหลังพระอัฏฐารส
9. “หลวงพ่อโชคดี”
มีพระนามเต็มว่า "พระพุทธมงคลสุวรรณบรรพต” เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หรือปางชนะมาร ขนาด ๓๙ นิ้ว
มีพุทธลักษณะพุทธศิลป์ มีความโดดเด่น ด้วยพระเกศมีลักษณะเปลวเพลิงหล่อด้วยเงิน บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ มีความงดงาม
ด้วยศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ถวายพระนามโดย เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งนับเป็นพระพุทธรูปองค์สุดท้ายที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นประธานเททองหล่อ และมีบัญชาให้ประดิษฐาน ณ ศาลาสุวรรณบรรพต วัดสระเกศ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร
ด้านหลังพระประธาน มีจิตรกรรมฝาผนังต้นดอกมณฑาทิพย์ ประตููมณฑาทิพย์โปรยฟ้า ประตูพฤกษาภิรมย์ และพญานาค ๔ ตระกูล
มีคติแห่งการสักการะหลวงพ่อโชคดี ว่า ผู้ใด ได้สักการะบูชา ย่อมประสบสิ่งที่ใจปรารถนาทุกประการ
10."หลวงพ่อดวงดี”
มีพระนามเต็มว่า “พระพุทธมงคลบรมบรรพต” เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ หรือปางตรัสรู้ มีพุทธลักษณะพุทธศิลป์แห่งพุทธศตวรรษที่ ๒๖ มีความงดงาม โดดเด่น ด้วยศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ หล่อขึ้นจากแผ่นดวงมหาโภคทรัพย์ที่บรรจุอยู่ บนยอดบรมบรรพต ภูเขาทอง ถวายพระนามโดย เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช และมีบัญชาให้ประดิษฐาน ณ ศาลาสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร
นอกจากนั้น ที่ศาลาหลวงพ่อหลวงดี ยังเป็นที่ประดิษฐานปฏิมากรรมและรูปหล่อ ตลอดจนจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับประวัติเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) และจิตรกรรมฝาผนังไตรภูมิจักรวาล และแสนโกฏิจักรวาล อันวิจิตรงดงาม
มีคติแห่งการสักการะหลวงพ่อดวงดีว่า ผู้ใด ได้สักการะบูชา จะมีดวงชะตาที่ดี เป็นที่รักของมิตรสหาย ปลอดภัยจากอุปสรรคนานาประการ
11.หลวงพ่อโต
พระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระพุทธรูปหล่อ ปิดทองในสมัยรัชกาลที่ ๓ หน้าตักกว้าง ๗ ศอก ๑ คืบ สูง ๑๐ ศอก นับว่าเป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยโลหะที่ใหญ่มากองค์หนึ่ง พระพุทธรูปที่ใหญ่ขนดานี้ส่วนมากปั้นด้วยปูน ชาวบ้านเรียกกันว่า “หลวงพ่อโต” คงจะเนื่องจากเป็นพระพุทธรูปใหญ่นั้น
12.ศาลาการเปรียญ
ศาลาการเปรียญแห่งนี้ เป็นสถานที่สำคัญตามประวัติศาสตร์ มีตำนานเนื่องในพระราชพงศาวดารว่าเมื่อวันเสาร์ เดือน ๕ แรม ๙ ค่ำ ปีขาล จัตวาศก จุลศักราช ๑๑๔๔ ตรงกับ พุทธศักราช ๒๓๒๕ คราวที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (ครั้นดำรงพระยศเป็น สมเด็จพระเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก) เสร็จการศึกสงครามจากเขมร เสร็จเข้าโขลนทวาร ประทับสรงมุรธาภิเษก ก่อนเสร็จขึ้นครองราชย์และสถาปนา “ราชจักรีวงศ์” จากนั้นได้พระราชทานเปลี่ยนชื่อวัดสะแกเดิมเป็น วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร
ครั้นต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ได้ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างศาลาการเปรียญหลังนี้ขึ้นเพื่อรักษาบ่อน้ำ มุรธาภิเษก อันสำคัญไว้
(บูรณะเมื่อ พุทธศักราช ๒๕๕๖)
กราบสักการะ รูปเหมือนเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช
13. ต้นพระศรีมหาโพธิ์
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 โปรดให้คณะสมณทูตที่พระองค์ทรงส่งไปลังกานำหน่อพระศรีมหาโพธิ์กลับมาด้วย ครั้งนั้นนำกลับมาถึงพระนครปลูกที่วัดมหาธาตุ 1 ต้น วัดสระเกศ 1 ต้น วัดสุทัศนเทพวราราม 1 ต้น หน่อพระศรีมหาโพธิ์ 3 ต้นนี้ เป็นหน่อจากต้นที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ นับเป็นรุ่นที่ ๓